You are here

ทำไมทั่วโลกถึงตื่นเต้นเรื่องน้ำไหลบนดาวอังคาร

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา NASA ได้ออกมาประกาศว่า มีหลักฐานของการค้นพบน้ำไหลบนดาวอังคาร และนั่นอาจนำไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ นั่นก็คือ “สิ่งมีชีวิตนอกโลก” นั่นเอง

ทำไมต้องสำรวจดาวอังคาร

ดาวอังคารเป็นดาวที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่ได้มีการประกาศว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานฟอสซิลของแบคทีเรียจากอุกกาบาต ALH84001 ที่ค้นพบแถบขั้วโลกใต้ ซึ่งคาดว่าเป็นอุกกาบาตที่ไปชนดาวอังคารมา และนักวิทยาศาสร์คาดว่าอุกกาบาตอันนี้ น่าจะชนกับดาวอังคารเมื่อสัก 17 ล้านปีที่แล้ว และตกมายังโลกเมื่อ 13,000 ปีที่แล้ว

ความหวังที่จะเจอสิ่งมีชีวิตนอกโลกกับดาวอังคารนี้จึงมีมากขึ้น NASA จึงได้ส่งยานอวกาศไปสำรวจมากมาย เพื่อตามหาสิ่งมีชีวิตดังกล่าว โดยหุ่นยนต์ที่ไปลงจอดตอนนั้นได้ชื่อว่า “Opportunity” สื่อถึงโอกาสที่จะได้เจอสิ่งมีชีวิต  ปัจจุบันมียานอวกาศที่ยังคงทำงานอยู่บนดาวอังคารมีทั้งหมด 7 ลำ ประกอบด้วย หุ่นยนต์Rover 2 ตัว คือ Opportunity และ Curiosity และยานที่วนรอบดาวอังคารอีก 5 ลำ คือ Mars Odyssey, Mars Express, Mars Reconnaissance Orbiter (MRO), Mars Orbiter Mission และ MAVEN. แต่แท้จริงแล้วได้มีการส่งยานออกไปมากมายจากทั้งโซเวียต สหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ แต่เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จมีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น

หลักฐานน้ำบนดาวอังคาร

การมีน้ำได้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดได้ยากบนดาวอังคาร เนื่องจากชั้นบรรยากาศของดาวอังคารเบาบางมาก เทียบได้ว่ามีเพียง 1% ของโลกนี้เท่านั้น น้ำที่จะมีสถานะเป็นของเหลวได้ต้องอาศัยหลายปัจจัยคือ อุณหภูมิ, ความดัน และ ความเข้มข้นของสารละลาย เมื่อเปรียบเทียบบนโลกเราแล้ว น้ำที่พื้นโลกสามารถมีสถานะเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิตั้งแต่ 0 – 100°C ซึ่งก็เป็นเพราะเรามีอากาศปริมาณมากพอที่จะทำให้น้ำเป็นของเหลวได้ แต่เมื่อสูงขึ้นไปเรื่อยๆ น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิลดลง เช่น บนยอดดอยน้ำจะเดือดได้ที่ 90°C เพราะอากาศเบาบางลง และจะเดือดที่อุณหภูมิต่ำลงเรื่อย ๆ ดังนั้น ในอวกาศน้ำสามารถเดือดได้ที่อุณหภูมิห้อง และเช่นกัน น้ำจึงมีช่วงอุณหภูมิเป็นของเหลวได้น้อยมากบนดาวอังคาร เพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นมันก็จะเดือดกลายเป็นไอ และเมื่ออุณหภูมิต่ำ มันก็จะแข็งตัว

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบน้ำแข็งที่ขั้วโลกของดาวอังคารนานแล้ว และมันเป็นไปได้ยากที่จะพบน้ำเป็นของเหลว ยกเว้นเสียแต่ว่า น้ำนั่นมีความเข้มข้นเป็นสารละลายสูง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่วงอุณหภูมิในการมีสถานะเป็นของเหลว ทำให้เดือดและแข็งตัวได้ยากขึ้น

 นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ว่ายังคงมีน้ำบนดาวอังคารจากร่องรอยของธารน้ำที่พบเห็นแต่ก็ยังไม่เคยมีหลักฐานเพื่อยืนยัน จนกระทั่งล่าสุดที่ดาวเทียม Mars Reconnaissance Orbiter (MRO) ได้ไปถ่ายภาพในพื้นที่เดิมซ้ำๆ และพบว่ามีน้ำไหลอยู่จริงๆ แต่ดาวเทียม MRO ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล ซึ่งหมายถึง มีความถูกต้องไม่ 100% เหมือนโลกเราที่ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพเพื่อให้เห็นภาพรวม แต่ถ้าต้องการข้อมูลที่แน่นอนก็ต้องลงพื้นที่สำรวจเช่นกัน ดังนั้น หลักฐานนี้ก็ยังคงไม่ 100% จนกว่าเราจะได้ไปเก็บมันมาวิเคราะห์จริงๆ

ขอไปสำรวจใกล้ๆ ได้ไหม

ในเมื่อดาวเทียม MRO ให้คำตอบได้ไม่ 100% ดังนั้นหุ่นยนต์ Curiosity ที่อยู่ห่างไปเพียง 50 กิโลเมตร จากจุดที่เจอน้ำ ขอให้ Curiosity ไปเก็บข้อมูลที่จุดเกิดเหตุได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะหลายประเทศเคยได้คุยเรื่องนี้กันเมื่อปี  1967 และลงนามในสนธิสัญญากันว่า ใครก็ตามที่ทำภารกิจส่งคน ส่งยาน หรือ หุ่นยนต์ ไปใกล้แหล่งน้ำนอกโลก ต้องไม่ให้มีการปนเปื้อนสิ่งมีชีวิตจากบนโลกนี้ไป เพราะเค้ากลัวว่าสิ่งมีชีวิตที่เจอนั้นก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากที่ไหน อย่างหุ่นยนต์ Curiosity เอง มันได้เดินทางผ่าน 225 ล้านกิโลเมตรจากโลกผ่านไปในอวกาศ และตลอดทาง มันอาจจะมีสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งรวมถึงสิ่งปนเปื้อนที่มาจากโลกด้วย แม้เจ้าหุ่นยนต์ทั้งหลายนี้ได้ผ่านการฆ่าเชื้อมาระดับนึง แต่ก็ยังเสี่ยงเกินไปที่จะมีสิ่งปนเปื้อน อันที่จริงแล้ว NASA สามารถฆ่าเชื้อได้ด้วยความร้อนมหาศาล และด้วยการฉายรังสี แต่มันก็จะฆ่าทุกอย่างรวมถึงระบบอิเล็คทรอนิกส์และระบบที่ออกแบบไว้ให้มันสามารถอยู่ได้ในอวกาศด้วย

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ อย่างที่รู้ตอนนี้คือ NASA มีแผนจะส่งคนไปในปี 2030 กว่าๆ ซึ่งถ้าโชคดี นักบินอวกาศคนนั้นก็จะเห็นของเหลวบนดาวอังคารที่ว่า อีกทางเลือกนึงก็คือส่งหุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการสร้างหุ่นอีกตัวไปดาวอังคาร นั่นก็จะลดความเสี่ยงที่จะมีสิ่งปนเปื้อนติดไปด้วย ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว NASA ได้ออกมาบอกว่ากำลังพัฒนาหุ่นยนต์ที่ทำ 3D-printing บนดาวอังคารได้ ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นไปได้ทีเดียว

ทำไมต้องส่งคนไปดาวอังคาร

การส่งมนุษย์กับหุ่นยนต์ไปดาวอังคาร ความยากง่ายมันต่างกันมาก กล่าวคือ บนดาวอังคารมีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับอะไร ทั้งพายุ ฟ้าผ่า การกัดกร่อนอย่างรุนแรง การที่ NASA จะส่งคนไปนั้น ต้องมั่นใจว่ามนุษย์คนนั้นสามารถเดินทางกลับมาได้ด้วย แม้ว่า NASA จะเคยส่งคนไปดวงจันทร์มาแล้ว แต่ดวงจันทร์เป็นดาวที่ไม่มีปรากฏการณ์อะไร และยังไม่ไกลเหมือนดาวอังคาร ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ NASA ต้องศึกษาอีกมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม NASA ก็ยังตั้งเป้าหมายที่จะส่งคนไปดาวอังคารในปี 2030 กว่าๆ อยู่ดี เพราะเหมือนว่าเทคโนโลยีหุ่นยนต์คงไม่สามารถตอบโจทย์เราได้ทั้งหมด ในยุคหนึ่ง เราเคยเชื่อว่า ในเวลาอันใกล้นี้หุ่นยนต์จะสามารถทำงานทุกอย่างได้เทียบเท่ามนุษย์ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น หุ่นยนต์ Curiosity มีศักยภาพไม่สูงนัก การสื่อสารความเร็วต่ำของมัน การส่งภาพหรือการส่งคำสั่งยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก บางทีการส่งคนไปเพียงครั้งเดียว อาจจะทำภารกิจได้ทั้งหมดเทียบเท่ากับที่เคยส่งหุ่นยนต์ไปก็ได้ ดังนั้น คำตอบของการได้เจอสิ่งมีชีวิตนอกโลกจึงได้มุ่งเน้นในการส่งคนไปดาวอังคารเป็นสำคัญ

เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีความคิดว่า การทำโครงการอวกาศเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และน่าค้นหา แต่ในขณะที่หลายคนตั้งคำถามว่าการทุ่มเทงบประมาณในการสร้างยานไปนอกโลกจะได้ให้ผลดีอย่างไร ควรนำเงินไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นดีกว่าหรือไม่ สำหรับสหรัฐฯและยุโรป การสร้างโครงการอวกาศได้สร้างสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นก็คือ องค์ความรู้ให้กับคนในประเทศ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เค้าสามารถสร้างเทคโนโลยีอื่นๆ ได้ การลงทุนในเทคโนโลยีอวกาศไม่ใช่สิ่งเสียเปล่าซะทีเดียว ตราบเท่าที่ “เป็นการลงทุนในประเทศ” หากเม็ดเงินยังคงหมุนเวียนในประเทศ นั่นก็จะยิ่งทำให้ประเทศเค้ามีความรู้เพิ่มขึ้นจากเม็ดเงินเหล่านั้น

ที่มา

 https://en.wikipedia.org/wiki/Allan_Hills_84001
https://en.wikipedia.org/wiki/Exploration_of_Mars
http://www.sciencealert.com/here-s-why-nasa-s-mars-rovers-are-banned-from-investigating-that-liquid-water