You are here

นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

Talent Mobility: นโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการจัดการจากภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษาไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคการผลิตและบริการ

ที่มาและความสำคัญ

ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานบูรณาการแผนงาน/ โครงการ สำหรับแผนปฏิบัติการของยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) นั้น “การส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาครัฐไปปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรม” ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในข้อ 8เรื่อง“การวิจัยและพัฒนา (Research & Development)” เพื่อขับเคลื่อนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Growth & Competitiveness) ให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) กลยุทธ์ดังกล่าวมีเป้าหมายหลัก คือ ภาคเอกชนมีบุคลากรวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพรองรับการลงทุนวิจัยและพัฒนาและสร้างนวัตกรรมเพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอ ก่อให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น

คณะรัฐมนตรียังได้เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ในปี 2558 ในหลายประเด็นสำคัญ เช่น การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้า บริการ การค้า และการลงทุน การพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนา/ปรับปรุงมาตรฐาน ซึ่งเงื่อนไขสำคัญหนึ่งต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น คือ การมีบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เพียงพอทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการที่ดีเพื่อนำศักยภาพของบุคลกรเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

ปัจจุบันบริษัทเอกชนที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยมีการจัดตั้งศูนย์วิจัย พัฒนาและนวัตกรรมมากขึ้น โดยมีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเห็นได้จากในช่วงปี 2549 ถึงปี 2556 การลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 260 (จาก 8,000 ล้านบาทเป็น 20,768 ล้านบาท1) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบุคลากรวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยอยู่ในภาครัฐและภาค อุดมศึกษาถึงร้อยละ 64 ขณะที่ในส่วนของภาคเอกชนมีบุคลากรดังกล่าวเพียงร้อยละ 36 นอกจาก นั้นบุคลากรวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนส่วนใหญ่เป็นระดับนักเทคนิค ผู้ช่วยนักวิจัย และมีนักวิจัย ที่มีประสบการณ์ไม่มากนัก ดังนั้น สวทน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นสมควรจัดให้มีโครงการ ส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของ ภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) จะเป็น กลไกสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น อีกทั้งเป็นการเชื่อมโยง การทำงานระหว่างภาคมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของรัฐ ก่อให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ระหว่างกัน เป็นการดึงศักยภาพของนักวิจัยไทยที่กระจุกตัวอยู่ในภาค มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของรัฐจำนวนมากมาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของสถาน ประกอบการภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรมให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.)สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ดำเนินการหารือและระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางการส่งเสริมบุคลากรวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาครัฐให้สามารถไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในภาคการผลิตและบริการ(Talent Mobility) และกลไกส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรที่เป็นรูปธรรมทั้งนี้ในอนาคตสามารถที่จะพัฒนารูปแบบการส่งเสริมให้หลากหลายมากขึ้น เช่น การเคลื่อนย้ายบุคลากรจากภาคการผลิตและบริการมายังภาคอุดมศึกษาหรือหน่วยงานในภาครัฐ การเคลื่อนย้ายบุคลากรระหว่างประเทศ (cross-border mobility) ซึ่งจำเป็นต่อการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมฐานความรู้พร้อมกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศทั้งจากการสร้างโอกาสใหม่และขยายการผลิตในฐานเดิม

ดังนั้น สวทน. จึงได้จัดทำข้อเสนอนโยบายการส่งเสริมบุคลากรวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการจัดการ จากภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษาไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคการผลิตและบริการ (Talent Mobility) เป็นนโยบายเร่งด่วนของประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรดังกล่าว โดยมุ่งเน้นในสาขายุทธศาสตร์ของประเทศ อาทิ เกษตรและอาหาร ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม สุขภาพและการแพทย์ โลจิสติกส์และการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของนโยบาย

  1. ส่งเสริมให้ภาคการผลิตและบริการลงทุนทำวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นทั้งโดยบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติที่จะเข้ามาตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในประเทศไทย
  2. สร้างอาชีพนักวิจัยและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการจัดการในภาคการผลิตและบริการ
  3. ส่งเสริมให้บุคลากรด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการจัดการในภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษาได้รับประสบการณ์การทำงานเพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองร่วมกับภาคการผลิตและบริการโดยร่วมกันทำวิจัยหรือแก้ไขปัญหาทางเทคนิคตามที่ภาคการผลิตและบริการต้องการ
  4. สร้างเครือข่ายความร่วมมือให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งระหว่างภาครัฐและสถาบันอุดมศึกษา และภาคการผลิตและบริการในการแก้ไขปัญหาทางเทคนิค การทำวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยี และการผลิตบุคลากรวิจัยซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างขีดความสามารถทางนวัตกรรมของประเทศ

ตัวอย่างการดำเนินงานการเคลื่อนย้ยบุคลากรวิจัยในต่างประเทศ

การดำเนินงานการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิจัยระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมของEuropean Commission

ข้อเสนอ

ตัวอย่างการดำเนินงาน

Training content and environment

 

การดำเนินการ
  • จัดให้มีการอบรมเรื่องทักษะการทำงาน เพื่อเตรียมตัวรองรับนักวิจัยจบใหม่ให้สามารถทำงานได้ทันที
  • จัดให้มีการอบรมเรื่องความเป็นผู้ประกอบการและการจัดการงานวิจัยให้กับนักวิจัยที่มีประสบการณ์โดยให้ประกาศนียบัตรรับรอง
  • พัฒนาหลักสูตรปริญญาโทและเอกในลักษณะที่มีความเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ

ตัวอย่าง อังกฤษ

  • รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนทักษะอาชีพ (เช่น ทักษะการวิจัย, ทักษะการสื่อสาร, ทักษะการทำงานเป็นทีม, ความตระหนักด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา, วิธีการปฏิบัติตนในการทำงาน, การเขียนใบสมัครงาน/การขอรับทุน เป็นต้น) ให้กับนักศึกษาปริญญาเอก และนักศึกษาปริญญาหลังปริญญาเอกประมาณ 2 สัปดาห์
  • Science Enterprise Challenge เป็นเครือข่ายที่มี Science Enterprise Centers จำนวน 13 แห่ง และมีมหาวิทยาลัยเกี่ยวข้อง 60 แห่ง มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน คือ กระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการด้าน วทน. และสร้างวัฒนธรรมการเป็นผู้ประกอบการในมหาวิทยาลัย

Training supervision

 

การดำเนินงาน
  • จัดให้นักศึกษาปริญญาเอก มีที่ปรึกษา 2 คน ที่มาจากภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม
  • จัดให้มีการอบรมผู้ที่จะมาเป็นที่ปรึกษานักศึกษาปริญญาเอก

ตัวอย่าง สวีเดน:

  • บังคับให้มีการฝึกอบรมทักษะการเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์

 ตัวอย่าง อังกฤษ:

  • ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์จะต้องผ่านการฝึกอบรมจำนวน 2 วัน

Access to inter-sectoral mobility

 

  1. การดำเนินงาน
  • เพิ่มโอกาสการเคลื่อนย้ายนักวิจัย เช่น การแลกเปลี่ยนบุคลากร, การทำงาน part-time, การทำงานในช่วงปิดเทอม, การให้ตำแหน่งเพื่อยกย่อง, ให้แรงจูงใจทางการเงิน

         ตัวอย่าง เบลเยี่ยม:

  • ใช้แนวคิด industrial resident ใน research hotel หมายถึง ให้นักวิจัยจากภาคอุตสาหกรรม ลงเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนา/ยกระดับทักษะและเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ
  1. การดำเนินงาน
  • พัฒนาแนวคิดการให้อาจารย์มาเป็นที่ปรึกษา โดยการทำสัญญาจ้างระยะสั้น

         ตัวอย่าง ฝรั่งเศส:

  • ให้การสนับสนุนทุนในการเป็นที่ปรึกษา (ภายนอกบริษัท) สำหรับนักวิจัยเอกชน โดยไม่มีกฎระเบียบการใช้จ่ายเงิน เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา

         ตัวอย่าง อเมริกา:

  • Massachusetts Institute of Technology (MIT) ทำสัญญาจ้าง 9 เดือน/ปี โดยช่วงเวลาที่เหลือให้ทำงานเป็นที่ปรึกษา มหาวิทยาลัยให้แรงจูงใจกับอาจารย์ที่มีรายได้จากการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม โดยลดเวลาสอนสำหรับผู้ที่สามารถหารายได้ >2 ล้านเหรียญ และลดเวลางานธุรการ/บริหารสำหรับผู้ที่สามารถหารายได้ >4 ล้านเหรียญ
  1. การดำเนินงาน
  • ประกาศรับสมัครนักวิจัยในภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมผ่านช่องทางที่เป็นที่รู้จัก เช่น Researcher’s Mobility Portal ERACAREER
  • จัดให้มีการแลกเปลี่ยนและฝึกงานในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs อย่างน้อย 6 เดือน
  • จัดให้มี expertise online เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถหา contact person ในสถาบันการศึกษาได้

         ตัวอย่าง อังกฤษ:

  • University of Manchester & University of Manchester Institute of Science and Technology (Career service) ทำงานร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่และ SMEs นอกจากนี้ ยังสนับสนุนบริษัทท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร และร่วมกับ Career service 13 แห่งในการให้นักศึกษาฝึกงานและหางานให้กับบัณฑิตจำนวน 50,000 คน ตลอดจนช่วยให้ SMEs เข้าถึงทรัพยากรของมหาวิทยาลัย

Appraisal of mobility

 

 การดำเนินงาน

  • ให้แรงจูงใจสำหรับการเคลื่อนย้ายระหว่างภาคส่วนในระบบของสถาบันการศึกษา เช่น สภาพการทำงานและเงินเดือน
  • พัฒนาระบบการประเมินผลงานที่โปร่งใสและยุติธรรม

 ตัวอย่าง นอร์เวย์:

  • ในกรณีที่อาจารย์มหาวิทยาลัยทำงานให้กับภาคอุตสาหกรรม ก็จะได้รับเงินเดือนเพิ่มจากภาคอุตสาหกรรมด้วย

Permanent mobility to the other sector

 

 การดำเนินงาน

  • สถาบันการศึกษาควรจ้างบุคลากรที่มีประสบการณ์ทำงานในภาคอุตสาหกรรมมาเป็นผู้บริหาร และจ้างพนักงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับภาคอุตสาหกรรมมาทำงานด้วย เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน

 ตัวอย่าง เนเธอร์แลนด์:

  • สถาบันการศึกษาจ้างคนที่จบปริญญาเอก จากอุตสาหกรรมมาเป็น extraordinary professors

Administrative barriers and autonomy needed to overcome them

 

 การดำเนินงาน

  • ให้อำนาจกับสถาบันในการจ้างบุคลากรที่มีประสบการณ์จากภาคสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมด้วยข้อเสนอที่ดี
  • ควรมีกฎที่สามารถอนุมัติให้นักวิจัยในสถาบันการศึกษาทำงาน part-time ในภาคอุตสาหกรรมได้

 ตัวอย่าง สวีเดน:

  • สถาบันการศึกษาสามารถจ้างบุคลากรจากภาคอุตสาหกรรมมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย

 ตัวอย่าง ฝรั่งเศส:

  • National Institute of Health and Medical Research (INSERM) จัดทำinterface programme ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยทำงานในโรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และอุตสาหกรรมที่เป็นเครือข่ายกันได้เป็นระยะเวลา 3-5 ปี โดย INSERM จ่ายเงินเดือน 2/3 ในขณะที่เครือข่ายจ่ายเงินเดือน 1/3

Framework conditions for academia-industry partnerships

 

 การดำเนินงาน

  • กำหนดกรอบการทำงานร่วมระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมโดยสนับสนุนให้ทำงานร่วมกัน มีการสนับสนุนทุนวิจัยร่วม และมี fellowship
  • กำหนดแนวปฏิบัติและสถานที่ทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม

 ตัวอย่าง เดนมาร์ก:

  • Danish Confederation of Industries จัดทำ Contacts, Codex & Contracts- คู่มือการทำวิจัยร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยและบริษัท

Appraising institutions

 

 การดำเนินงาน

  • ให้นำประเด็นการทำงานร่วมระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมมาเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลงานด้วย

 ตัวอย่าง

  • ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ อังกฤษ ประเมินโดยใช้เรื่องดังกล่าว มาเป็นเกณฑ์

SME-academia networks

 

 การดำเนินงาน

  • สร้างความร่วมมือระหว่าง SMEs และสถาบันการศึกษาโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว

 ตัวอย่าง ยุโรป:

  • การจัด “Friday afternoon” ใน Philip High Tech Campus Eindhoven (มีบริษัทมากกว่า 40 แห่ง) เพื่อสร้างเครือข่ายนักวิจัย

Funding for training academic staff

 

 การดำเนินงาน

  • จัดให้มีทุนสนับสนุนการฝึกอบรมวิชาชีพให้กับบุคลากรทุกระดับในสถาบันการศึกษาเพื่อให้เรียนรู้สภาพแวดล้อมใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงบทบาทการทำงาน

 ตัวอย่าง ยุโรป:

  • เครือข่ายการฝึกอบรมผู้บริหารในสถาบันการศึกษา และ Technology transfer officers

ตัวอย่างการสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรวิจัยที่ไปปฏิบัติงานในหน่วยงานอื่น

ข้อเสนอ

ตัวอย่างการดำเนินงาน

สิงคโปร์ - โครงการ T-Up ของสิงคโปร์ (Technology for Enterprise Capability Upgrading Initiative)

ให้นักวิจัย จากสถาบันวิจัย A*Star ไปทำงานที่บริษัทที่คนสิงคโปร์เป็นเจ้าของหรือมีหุ้น อย่างน้อย 30 % และมีโครงการวิจัยได้ไม่เกิน 2 ปี โดย โครงการ T-Up สนับสนุนเงินเดือนและสวัสดิการของนักวิจัย ไม่เกิน 70 %

(Source: Poh-Kam Wong, Annette Singh. Public Innovation Financing Schemes in Singapore)

ยุโรป – โครงการ Marie Curie Industry-Academia Partnerships and Pathways (IAPP)

ส่งเสริมการเคลื่อนย้ายของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยของรัฐจากประเทศสมาชิกในกลุ่ม EU ร่วมงานกับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs โดยจะสนับสนุนค่าแรงทั้งหมดสำหรับโครงการที่ได้รับการสนับสนุน

(Source: http://ec.europa.eu/research/mariecurieactions/)

ฝรั่งเศส - National Institute of Health and Medical Research (INSERM)

จัดทำ interface programme ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยทำงานในโรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และอุตสาหกรรมที่เป็นเครือข่ายกันได้เป็นระยะเวลา 3-5 ปี โดย INSERM จ่ายเงินเดือน 2/3 ในขณะที่เครือข่ายจ่ายเงินเดือน 1/3 (Source: European Commission (2006). Mobility of Researchers between Academia and Industry: 12 Practical Recommendations.)

สเปน – โครงการ Torres Quevedo

มุ่งส่งเสริม R&D ใน SMEs ให้เงินสนับสนุนนักวิจัย 75% ของเงินเดือนเป็นระยะเวลา 3 ปี

(Source: European Commission (2006). Mobility of Researchers between Academia and Industry: 12 Practical Recommendations.)

ความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) ของประเทศไทย

- คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2558 เห็นชอบนโยบายส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความ สามารถการแข่งขันในภาคเอกชน (Talent Mobility) ในประเด็นดังต่อไปนี้

(1) เห็นชอบให้การปฏิบัติงานในโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ถือเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลาของ หน่วยงานต้นสังกัด โดยให้นับเป็นอายุราชการหรืออายุงานของหน่วยงานต้นสังกัด

(2) เห็นชอบให้การปฏิบัติงานในโครงการฯ ตามข้อ 1 ของบุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ ที่มีข้อผูกพันตามสัญญาชดใช้ทุน นับเป็นระยะเวลาชดใช้ทุนตามสัญญาด้วย ทั้งนี้ ให้รวมถึงผู้รับทุนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อนเริ่มปฏิบัติงานในหน่วยงานต้นสังกัดสำหรับกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และองค์การมหาชน โดยครอบคลุมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ที่เป็นหน่วยงานด้านวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม

(3) เห็นชอบให้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถใช้ผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชนในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นผลงานในการขอตำแหน่งทางวิชาการหรือตำแหน่งงานอื่นๆ รวมทั้งการขึ้นเงินเดือน โดยให้มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐจัดทำเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่ง การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการและการขึ้นเงินเดือนที่ชัดเจน

(4) มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อผลักดันการดำเนินการตามนโยบายให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด

- มีศูนย์อำนวยความสะดวก Talent Mobility (Talent Mobility Clearing House) จำนวน 4 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ดำเนินงานทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคกลาง-มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ภาคเหนือ-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-มหาวิทยาลัยขอนแก่น และภาคใต้-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานความต้องการบุคลากรวิจัยของสถานประกอบการกับหน่วยงานต้นสังกัด สนับสนุนการจัดทำ/ปรับปรุงกฎระเบียบหน่วยงานต้นสังกัดในการส่งเสริมนักวิจัยไปปฏิบัติงาน ในสถานประกอบการ โดยได้มีการเริ่มนำร่อง Talent Mobility ไปแล้ว อีกทั้งมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนโครงการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา

- สร้างความตระหนักเกี่ยวกับนโยบาย Talent Mobility และกลไกที่เกี่ยวข้อง โดยจัดงาน Talent MobilityFair 2015 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2558 ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ กรุงเทพฯ และจัดงานTalent Mobility Fair ในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ Talent Mobility Fair ภาคเหนือ 2015 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม2558 ณ โรงแรมแชงกรีล่า จังหวัดเชียงใหม่ Talent Mobility Fair ภาคใต้ 2015 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2558 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ Talent Mobility Fair ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ 2015 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2558 ณ โรงแรมเซ็นทารา แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์จังหวัดขอนแก่น ซึ่งภายในงานมีการจัดนิทรรศการนำเสนอโครงการที่ประสบความสำเร็จจากการจับคู่ความร่วมมือ และโครงการที่มาจากการนำผลงานวิจัยไปต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาด้านการผลิต และการจัดการนวัตกรรม เป็นต้น

- เกิดการเคลื่อนย้ายนักวิจัยจากภาครัฐไปทำงานในภาคเอกชนในรูปแบบ Talent Mobility แล้วจำนวน 111 คน และผู้ช่วยวิจัย 77 คน จาก 51 โครงการ ที่มาจาก 47 บริษัท (บริษัทขนาดใหญ่ 4 บริษัทและ SME 43 บริษัท) นอกจากนั้นมี SME ได้รับการวินิจฉัยปัญหาและวิเคราะห์ความต้องการสนับสนุนด้าน วทน. แล้วจำนวน 1,125 บริษัท และปัจจุบันมีสถานประกอบการที่อยู่ระหว่างการจับคู่ จำนวน134 โครงการ และมีความต้องการนักวิจัยกว่า 300 คน2

ข้อมูลเพิ่มเติม http://talentmobility.or.th/

1ผลการสำรวจข้อมูลการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน ประจำปี 556, สวทน, CEO Innovation Forum 2015, 2 มีนาคม 2558 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์

2ข้อมูล ณ วันที่ 2 กันยายน 2558

   

 

[1]ที่มาข้อมูล สวทช. โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของภาคอุตสาหกรรมไทย (iTAP)

[2]ทึ่มาข้อมูล วช. รายงานการสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรทางการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ประจำปี 2550 หน้า 28