You are here

ย้ายบ้านไปดาวอังคารกัน

ตั้งแต่อดีตที่มนุษย์ได้บุกเบิกดินแดนใหม่ มีทั้งการล่าดินแดน ล่าอาณานิคม การถมทะเล อะไรต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากจำนวนประชากรที่เติบโตขึ้นทุกวัน และยังมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หนัง Sci-fi ทำให้เราจินตนาการถึงการย้ายไปไม่เพียงแต่ทวีปใหม่ แต่หมายถึงดาวดวงใหม่เลย และที่น่าจะใกล้ความจริงมากที่สุดก็เห็นจะเป็น “ดาวอังคาร” แต่การที่คนเราจะไปอยู่ได้นั้นต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เราจะได้ไปอยู่ในเร็ววันไหม เราคงต้องมาวิเคราะห์กันในหลายปัจจัยเลยทีเดียว

  1. อากาศและความดันบรรยากาศ สองสิ่งนี้สัมพันธ์กัน กล่าวคือ เมื่อมีอากาศมากก็จะมีความดันบรรยากาศ (ความดันของอากาศ) มาก แต่เนื่องจากดาวอังคารมีมวลเพียงแค่ 1/10 ของโลกเท่านั้น ทำให้แรงดึงดูดอากาศ ชั้นบรรยากาศต่างๆ จึงมีน้อยมาก เทียบความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศจะมีเพียง 1% ของชั้นบรรยากาศของโลกเท่านั้น โดยเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ไปเสีย 96% ดังนั้น ถ้าหากจะไปอยู่ได้ ต้องเพิ่มทั้งความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศ และออกซิเจนเพื่อให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตด้วย
  2. อุณหภูมิ ดาวอังคารมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ -63°C เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์และไม่มีชั้นบรรยากาศในการสร้างปรากฏการณ์เรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโดยรวมของดาวหนาวเย็นมาก
  3. สนามแม่เหล็ก บนดาวอังคารมีสนามแม่เหล็กเป็นบางจุด แต่มีน้อยมากเพียง 1% เมื่อเทียบกับโลกที่มีแถบรังสี แวน แอลเลน (Van Allen Belts) คอยปกป้องเราจากรังสีดวงอาทิตย์ ทำให้โลกของเราเจอผลกระทบน้อยมากเมื่อเกิดพายุสุริยะ แต่บางครั้งพายุสุริยะจะมีผลต่อดาวเทียมสื่อสารบ้างถ้าอยู่นอก Van Allen Belts ออกไป ดาวอังคารที่มีสนามแม่เหล็กน้อยนิดเมื่อเทียบกับโลกนี้จึงยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากพายุสุริยะอยู่มาก โดยอาจจะส่งผลพัดให้ชั้นบรรยากาศหลุดออกนอกวงโคจรของดาวอังคารก็เป็นได้

 

เปลี่ยนดาวอังคารให้อยู่ได้ (Terraforming of Mars)

มีหลายแนวคิดที่จะเปลี่ยนดาวอังคารให้อยู่ได้ บางคนเสนอทฤษฏีว่าเราต้องเพิ่มชั้นบรรยากาศ โดยการนำพืชไปปลูกเพื่อเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่มากให้เป็นออกซิเจน ซึ่งก็ต้องใช้เวลากว่าหลายศตวรรษถึงจะสามารถเป็นอย่างที่คาดหวังนั้นได้ อีกแนวคิดหนึ่งที่แปลกแหวกแนวและได้รับการพูดถึงมากในช่วงนี้ เป็นแนวคิดมาจากอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งบริษัท SpaceX และ Tesla Motor ได้กล่าวไว้ในรายการ “The Late Sow with Stephen Colbert” เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 ที่ผ่านมาว่า “การทำให้ดาวอังคารอุ่นขึ้นได้ก็ต้องทำให้มีปรากฏการณ์เดียวกันกับโลกของเราก็คือ ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ซึ่งมีหลายวิธีที่น่าจะทำได้ แต่วิธีที่เร็วที่สุดคือ การเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปหย่อนลงที่ขั้วของดาวอังคารซะเลย!! เพื่อให้ปฏิกิริยาความร้อนที่เกิดขึ้น ทำให้อุณหภูมิของดาวอังคารสูงจนทำให้น้ำแข็งและคาร์บอนไดออกไซด์แข็งที่ขั้วโลกละลายและระเหยไป ส่งผลให้ชั้นบรรยกาศหนาขึ้น จนกลายเป็นปรากฏการณ์เรือนกระจกในที่สุด

Elon Musk ผู้ได้รับฉายาว่าเป็น โทนี่ สตาร์ค แห่งวงการวิศวกรรม

อย่างไรก็ตาม มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ Musk พูดนี้ว่า การจะระเบิดดาวอังคารโดยที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่อย่างน้อยผลจากนิวเคลียร์ย่อมก่อให้เกิดกัมมันตภาพรังสีแน่ๆ โดยมีอีกหลายหลายความเห็นสอดคล้องว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบศตวรรษเพื่อพิจารณาแนวคิดนี้ หรือบางท่านก็ให้ความเห็นเสริมว่า ถ้าจะสร้างปรากฏการณ์เรือนกระจก ก็ให้ปล่อยก๊าซฟรีออน (Freon) ไปเสียเลย เพราะเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีอันตราย แต่ก็น่าจะน้อยกว่ากัมมันตรังสีจากการระเบิดนิวเคลียร์แน่นอน

เรียกได้ว่าสิ่งที่ Musk ให้แนวคิดไว้นั้นจุดประกายและเป็นที่สนใจกับนักวิทยาศาสตร์ เพราะในหลายครั้ง Musk ได้ให้ความเห็นและข้อมูลที่มีพื้นฐานถูกต้องทางฟิสิกส์ จนได้รับฉายาว่าเป็น โทนี่ สตาร์ค แห่งวงการวิศวกรรม แต่จากความเห็นครั้งนี้ ทำให้เค้าได้ฉายาเพิ่มว่าเป็น “จอมวายร้าย” เพราะคงไม่มีพระเอกที่ไหนเอาระเบิดไปหย่อนบนดาวอังคารแน่ๆ :P

ที่มา
http://www.ibtimes.co.uk/elon-musk-wants-nuke-mars-scientists-say-its-not-crazy-it-sounds-1519430

http://www.vcharkarn.com/vnews/503149

https://en.wikipedia.org/wiki/Terraforming_of_Mars

ขอบคุณภาพ
ภาพปก วาดโดย Ville Ericsson ศิลปินชาวสวีเดิน (http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-3079534/Welcome-new-home-...)