You are here

การป้องกันมะเร็งกับนาโนเทคโนโลยี

ภาพจาก telegraph.co.uk

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งสูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือนถัดมา กระทรวงสาธารณสุขเผยว่า เป็นเวลากว่า 10 ปีที่โรคมะเร็งเป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ปีละกว่า 67,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจไทยปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท มะเร็งเต้านมเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยมากที่สุด ปีละกว่า 3,000 ราย และพบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นปีละ 34,000 คน เฉลี่ยป่วยเพิ่มชั่วโมงละเกือบ 4 คน และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี  

มะเร็งเป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ปีละกว่า 67,000 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจไทยปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท

สำหรับการรักษามะเร็งนั้น ได้มีการค้นคว้าวิจัยทั้งระดับพื้นบ้าน ระดับชาติ ระดับสากลมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหลายทศวรรษ เพื่อจะหาวิธีการรักษาหรือกำจัดเนื้อร้ายที่ทำลายอวัยวะของร่างกายให้ได้ประสิทธิผลมากที่สุด การค้นคว้าวิจัยดังกล่าวได้รวมถึงนาโนเทคโนโลยีที่ได้รับการนำมาประยุกต์ทุกวิถีทางที่จะช่วยทั้งระบุและรักษามะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผล ตั้งแต่ขั้นตอนที่บ่งชี้ว่า (1) เป็นหรือไม่...ด้วยการใช้นาโนเทคฯ ช่วยในการตรวจวินิจฉัย (Diagnosis) (2) เป็นขั้นไหน... การใช้นาโนเทคฯ ในการประเมินระดับขั้นของความรุนแรง/การกระจายตัว (Stage) และ (3) จะรักษาอย่างไร...เทคโนโลยีนาโนจะช่วยในการนำยาเคมีบำบัด (คีโม) เข้าไปรักษาตรงเซลล์มะเร็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ การลดผลข้างเคียงของยา จนถึงการใช้นาโนเทคฯ ในการยับยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น  

สิ่งที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอีกหนทางหนึ่งนอกจากการรักษา คือ การใช้นาโนเทคโนโลยีในการป้องกันการเกิดมะเร็ง จากหลักการที่ว่า มะเร็งเป็นภัยร้ายสามารถก่ออันตรายถึงแก่ชีวิตนั้นเกิดขึ้นเพราะเซลล์มะเร็งเข้าทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2557 นักวิจัยจากสถาบัน Wyss Institute for Biologically Inspired Engineering มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า ได้ใช้หลักการนี้ในการวิจัยพร้อมประยุกต์นาโนเทคโนโลยี และได้ค้นพบวิธีกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเซลล์เป้าหมาย ด้วยการใช้วัสดุชีวภาพขนาดเล็กมากซึ่งสามารถตั้งโปรแกรมไว้ (Programmable Biomaterial) ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ทันทีที่เข้าสู่ใต้ผิว วัสดุชีวภาพนี้จะประกอบตัวเป็นโครงสร้างคล้ายนั่งร้านที่มีรูปร่างเป็นแท่งยาว 3 มิติผสานกัน และเข้าทำการเพิ่มพลังและกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างภูมิก่อนที่จะเกิดโรค หรือหากว่าโรคได้ก่อตัวแล้ว ก็จะเข้าทำลายเซลล์อันตรายนั้นๆ เช่น เซลล์มะเร็ง หรือเชื้อโรคในลักษณะการติดเชื้อ เช่น เอดส์ หรืออีโบลา

วัสดุชีวภาพดังกล่าวนี้มีขนาดเล็กมากและทำจากสารซิลิกาที่มีรูปแบบเป็นรูพรุนเรียกว่า นาโนพอร์ส (Nanopores) มีคุณสมบัติที่จะดึงดูดเซลล์ภูมิคุ้มกันไว้ได้หลายล้านตัวด้วยการกระตุ้นให้ประสาทของเซลล์สื่อสารกับประสาทของเซลล์ถัดไปที่อยู่ข้างกัน เป็นการเลียนแบบวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย และรูพรุนดังกล่าวยังสามารถบรรจุยาที่จะเข้าทำการรักษามะเร็ง ณ เซลล์เป้าหมายไว้ได้ด้วย วัสดุชีวภาพนี้จึงเรียกกันว่า วัคซีนป้องกันหรือรักษามะเร็ง วัคซีนประเภทนี้ได้รับการทดลองในหนู และผลการทดลองปรากฏว่า เป็นไปตามเป้าหมาย 

อย่างไรก็ตาม แม้กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดข้างต้นชี้แจงว่า วัคซีนนี้สามารถผลิตได้ในปริมาณมาก และด้วยระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการยืนยันถึงกำหนดเวลา หรือการผลิต ราคาและผลข้างเคียง

ระหว่างที่รอวัคซีนตัวนี้ จึงขอแนะนำให้ทุกท่านได้ทราบถึงวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่สามารถปฏิบัติด้วยตัวเองเพื่อป้องกันมะเร็งแบบธรรมชาติไปก่อน กล่าวคือ การปฏิบัติตามมาตรการที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงและสร้างภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งจำนวนมาก เพื่อให้ผู้อ่านจดจำได้ง่าย จึงขอผสมผสานหลักการตัวออทั้งหมด 11 อ. ประกอบคำอธิบายสั้นๆ ตรงเป้าหมาย เข้าใจง่าย และปฏิบัติตามได้ไม่ยากหากตั้งใจ

11 อ. การปฏิบัติตัวเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันมะเร็ง และโรคต่างๆ แบบธรรมชาติด้วยตนเอง

  1. อากาศ: ให้อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ แบ่งเวลาใกล้ชิดธรรมชาติและต้นไม้ หลีกเลี่ยงมลพิษ ควันและฝุ่น
  2. อาหาร: รับประทานผักผลไม้สดให้มาก ผ่านการแปรรูปให้น้อย ด้วยปริมาณพอเหมาะ หลีกเลี่ยงอาหารหมดอายุ ทอด ปิ้ง-ย่าง ค้างคืน เหม็นหืนน้ำมันใช้ซ้ำ ควรทำอาหารเองเพื่อมั่นใจได้ว่า สะอาด ปลอดภัย มีความหลากหลายและคุณค่าครบ 5 หมู่ ไม่ทานอาหารเดิมๆ ไม่ใส่สารอันตราย และประหยัดค่าใช้จ่าย 
  3. อารมณ์: ควรรักษาอารมณ์ให้มั่นคง ไม่เครียด ส่งผลดีต่อความดันโลหิตและลดอันตรายหรือความเสียหายจากการวิวาทและเสียเวลา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการฝึกสติ ใช้ปัญญาไตร่ตรอง อดทนและอดกลั้นได้
  4. อโรคยา: หมั่นสังเกตสุขภาวะของตนเอง คือ การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วน เช่น ท้อง (ไม่ย่อย) สมอง (จำไม่ได้) ปอด (ไอถี่มาก) หัวใจ (เต้นผิดปกติ) แขน ขา ฟัน ตา ผิว เล็บ หากพบสิ่งผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ ยิ่งพบสาเหตุได้เร็ว รักษาได้ถูกอาการและถูกวิธี โอกาสหายเป็นปกติจะยิ่งสูงตามไปด้วย
  5. อนามัย: ควรรักษาความสะอาดของบ้านเรือน ที่ทำงาน สิ่งแวดล้อมต่างๆ เสมอ เพื่อให้เกิดสุขลักษณะ
  6. เอนกาย: การพักผ่อนนอนหลับอย่างสนิทในปริมาณที่เหมาะสมประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จะเสริมให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกัน และสารที่จำเป็น ส่งผลให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง ไม่แก่เร็ว จิตใจแจ่มใส
  7. เอาพิษออกนอก: ควรสังเกตการขับถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระ ไม่บ่อยเกินไป หรือไม่ทิ้งช่วงนานหลายวัน ไม่ควรมีอาการเจ็บปวด ไม่ควรกลั้นหรือเกิดการคั่งค้างไว้นาน ไม่ต้องเบ่ง หรือของเสียไม่มีเลือดเจือปน และควรเสริมด้วยการทานอาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำสะอาด และออกกำลังกายอย่างเพียงพอ
  8. ออกกำลังกาย: ควรจัดสรรเวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์เพื่อบริหารร่างกาย ให้หัวใจได้เพิ่มอัตราการสูบฉีดเลือดทั่วถึง และเปิดช่องให้ร่างกายขับของเสียออกมาทางเหงื่อ
  9. อบายมุข: ควรหลีกเลี่ยงสารเสพติด และอบายมุขทุกประเภท เช่น การพนันไพ่ ม้า บอล เกมคอมพิวเตอร์ เสียหายทั้งทรัพย์สิน เวลา และสุขภาพ รวมทั้งมีอารมณ์รุนแรงเมื่อผิดหวัง
  10. อดิเรก: เลือกทำสิ่งที่ตัวเองสนใจจะเป็นการฝึกสมอง สติและสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน และอาจสร้างรายได้เพิ่ม
  11. อิทธิบาทสี่: เป็นคุณธรรมแห่งความสำเร็จของการดำรงชีวิตที่ควรประพฤติปฏิบัติ ได้แก่ (1) ฉันทะคือ ความพอใจกับงานที่ทำอยู่ (2) วิริยะคือ ขยันหมั่นเพียรกับงาน (3) จิตตะคือ ความเอาใจใส่รับผิดชอบ (4) วิมังสา คือ การใช้ปัญญา วิเคราะห์ ทบทวนให้เกิดทั้งความเข้าใจและความรอบคอบ